มาคราวนี้เป็นเรื่องราวที่ฟังดูแล้วธรรมดาแต่จริงๆ แล้วไม่ธรรมดาเลยในทางปฏิบัติสำหรับบรรดาแอคชัวรีในบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยทั้งหลาย เพราะว่ากว่าจะได้มาซึ่งงบการเงิน (Financial Report) ที่มีตัวเลขสวยๆ ออกมาให้เห็นนั้น หลายคนคงต้องอดหลับอดนอน (แต่กินเยอะ) จนเหมือนหมีแพนด้า (เหมือนทั้งตาและตัว) กันเป็นแถว แต่ผลที่ได้ออกมานั้นก็คงจะขึ้นกับตีความและใช้งานงบการเงิน (Financial Report) เหล่านี้จากบุคคลทั่วไป ทั้งภายในและภายนอกบริษัท
บทความคราวนี้เลยเขียนขึ้นมาเพื่อเอาใจคอนักบัญชีและนักบริหารทั่วไปที่ต้องใช้ตัวเลขจากงบการเงินเพื่อดูผลประกอบการของบริษัทกันครับหลายคนคงอาจสงสัยว่าทำไมแอคชัวรีจึงต้องไปเกี่ยวกับกับงบการเงิน (Financial Report) ด้วย เพราะจะมีแต่คนเข้าใจว่าแอคชัวรี (หรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัย) มีหน้าที่คำนวณเบี้ยประกันภัยเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ถูกต้องไม่ทั้งหมด เพราะนั่นเป็นเพียงแค่งานหน้าบ้านเท่านั้น ส่วนงานหลังบ้านที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือการมีส่วนรับผิดชอบในงบการเงิน (Financial Report) ร่วมกับฝ่ายบัญชีด้วย โดยฝ่ายบัญชีจะเน้นการนำเอาตัวเลขที่เป็นเม็ดเงินสดจริงๆ (เช่น เบี้ยประกันภัยรับ หรือ ค่าสินไหมทดแทน) มาลงในบัญชี ส่วนแอคชัวรีจะคำนวณเอาตัวเลขที่คิดว่าจะเป็นต้นทุนค่าใช้จ่าย (หรือรายรับที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต) มาประมาณการเอาให้แม่นยำที่สุดแล้วนำมาลงในงบการเงิน (Financial Report)
ดังนั้นถ้าจะให้ถามว่านักบัญชีต่างกับแอคชัวรีอย่างไร ก็คงจะได้คำตอบประมาณที่ว่า นักบัญชีจะนำเอาตัวเลขที่เกิดขึ้นในอดีตมาใส่ในงบการเงิน (Financial Report) ให้ถูกต้องตามระบบมาตรฐานสากลบัญชี หลังจากนั้นแอคชัวรีจึงจะประเมินบริษัทโดยสร้างสมมติฐานต่างๆ ขึ้นมาเพื่อประมาณสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วจึงนำเอาตัวเลขเหล่านั้นมาใส่ในงบการเงิน (Financial Report) อีกทีหนึ่ง ส่วนความสามารถในการประเมินอนาคตของแอคชัวรีนั้น คำทั่วๆ ไปที่ใช้แซวกันประจำก็คือ การนั่งเทียนอย่างมีเหตุมีผล (Educated guess) นั่นเอง
ตัวอย่างของตัวเลขที่เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีแอคชัวรีเข้ามาเอี่ยวอย่างแน่นอนนั้นก็คือ การตั้งเงินสำรองกรมธรรม์เพื่อให้เพียงพอกับกรมธรรม์ในแต่ละกรมธรรม์ (ซึ่งก็ยากอยู่ไม่น้อย) และหลังจากนั้นก็ต้องมาทำให้เข้ากับระบบบัญชีในแต่ละแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่กำหนดในประเทศ (Local regulation) หรือแบบที่กำหนดตามมาตรฐานสากล (General
แล้วทำไมงบการเงิน (Financial Report) ของบริษัทประกันภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญล่ะครับ
นั่นเพราะว่างบการเงิน (Financial Report) จะบอกถึงสภาวะที่บริษัทมีกำไรหรือขาดทุน และมีเงินทุนที่เผื่อไว้ในยามฉุกเฉินเหลืออยู่เท่าไรที่จะสามารถนำไปชำระคืนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ได้ ทำให้หน้าที่หลักของแอคชัวรีอีกอย่างหนึ่ง คือการดูผลประกอบการกำไร/ขาดทุนของบริษัท รวมทั้งดูถึงเงินทุน (Capital) ที่บริษัทมีเหลืออยู่
แล้วการที่จะแสดงผลกำไรหรือขาดทุนได้นั้น ก็คงต้องขึ้นกับว่า แอคชัวรีจะประเมินการตั้งเงินสำรองกรมธรรม์ในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร ที่สำคัญก็คือถ้าปีไหนแอคชัวรีเปลี่ยนแปลงการตั้งเงินสำรองกรมธรรม์ให้ลดลง ปีนั้นก็จะทำให้บริษัทแสดงผลกำไรพุ่งปรี๊ดอย่างทันตาเห็น (เหมือนปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ลงสู่กระเป๋าให้มากขึ้น) แต่การจะเปลี่ยนการตั้งค่าเงินสำรองกรมธรรม์ในแต่ละปีนั้น จำเป็นจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถในเชิงลึกและวิจารณญาณ (รวมไปถึงจรรยาบรรณ) ของคนที่เป็นแอคชัวรี อีกทั้งประเทศไทยก็มีแอคชัวรีที่อยู่ในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คอยสอดส่องดูแลเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคอีกทางหนึ่งอยู่แล้ว จึงเป็นที่วางใจได้ว่าแอคชัวรีไม่มั่วนิ่มแน่นอนครับ (เราเอาเกียรติของลูกเสือสำรองเป็นประกัน)
หนำซ้ำประเทศไทยเรายังมีสมาคมคณิตศาสตร์ประกันภัย (The Society of
วิธีทำงานของแอคชัวรีในการคำนวณเพื่อให้ได้มาซึ่งงบการเงิน (Financial Report)
ปกติแล้วคนทั่วไปจะคิดว่าแอคชัวรีจะต้องเก่งเรื่องสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ยาวถึงสามวาสองศอกกันทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่จะจำสูตรคำนวณทั้งหมดให้ได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะมีสูตรที่จะให้เรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นแอคชัวรีที่มีประสบการณ์ (และได้เป็น Qualified
และเนื่องจากว่าชนิดของธุรกิจบริษัทประกันภัยนั้นจะมีต้นทุนเกิดขึ้นตามหลังในอนาคตข้างหน้า แต่กลับเก็บเงินมาไว้กลับบริษัทก่อน ดังนั้นแอคชัวรีที่ดีนั้น นอกจากจะต้องคำนวณผลประกอบการของบริษัทได้แล้ว ยังควรจะสามารถดูสิ่งต่อไปนี้ได้
1. ทิศทางของกำไร/ขาดทุนของบริษัท (Trend of Profit) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย เพราะสภาพแวดล้อมในตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงทำให้ต้นทุนของกรมธรรม์ประกันภัยที่เคยขายไปแล้ว (แต่บริษัทยังให้ความคุ้มครองอยู่) เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป แล้วอาจส่งผลทำให้บริษัทเกิดการขาดทุนที่คาดไม่ถึง และยังผลถึงภาวะล้มละลายได้โดยไม่รู้ตัว
2. แหล่งที่มาของกำไรของบริษัท (Source of Profit) ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่แอคชัวรีควรจะวิเคราะห์ ซึ่งโดยหลักทั่วไปอย่างคร่าวๆ แล้ว เราจะต้องมองให้ออกว่าขณะนี้บริษัทได้กำไรมาจากทางใด เป็นต้นว่า กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นหรือพันธบัตร หรือกำไรจากการพิจารณารับประกันที่มีประสิทธิภาพ หรือไม่ก็กำไรที่เกิดจากการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัท ทั้งนี้ทั้งนั้น แหล่งที่มาของกำไรก็อาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินสำรองของกรมธรรม์ ซึ่งก็ไม่ได้แสดงถึงประสิทธิภาพของผลประกอบการอย่างแท้จริงก็ว่าได้
3. การวางแผนอย่างเป็นระบบของบริษัท (Strategic Planning ) ก็เป็นสิ่งที่แอคชัวรีจะต้องมีเอี่ยวอยู่ด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแผนการดำเนินงานในปีหน้า สามปีข้างหน้า หรือห้าปีข้างหน้า มิหนำซ้ำอาจจะต้องประมาณการงบการเงิน (Financial Report) ถึง 3 – 5 ปีล่วงหน้ากันให้ดูเลยทีเดียว
4. รู้อย่างลึกซึ้งว่า หนี้สิน (Liability) และ สินทรัพย์ (A sset) รวมทั้ง เงินทุน (Capital) นั้นคำนวณหามาได้อย่างไรในระบบมาตรฐานสากลต่างๆ อีกทั้งควรจะรู้ว่าตัวไหนยังใช้ได้อยู่ หรือตัวไหนที่ล้าสมัยไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ระบบการตั้งเงินทุนขั้นต่ำ (Minimum required capital) ของประเทศไทยนั้นอาจจะดูไม่ทันสมัยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบ้าง (เพราะมีแนวโน้มว่าบางบริษัทอาจจะมีเงินทุนอยู่ไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงในตลาดที่มีความผันผวนเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณในอนาคต) ดังนั้นปกติแล้ว จึงมีบริษัทที่ได้มีการศึกษาคำนวณหาเงินทุนขั้นต่ำที่บริษัทควรจะมีจริงๆ อย่างคร่าวๆ (เช่น การใช้วิธีการคำนวณแบบมาตรฐานตามแต่ความเหมาะสม สำหรับบริษัทในเครือทั่วโลก เป็นต้น) ไว้อยู่บ้างเพื่อแยกไว้พิจารณาอีกต่างหากอีกหนึ่งชุด และก็เพื่อสามารถเอาไว้ใช้กับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของบริษัทในเครือทั้งหมดอีกด้วย (เช่น วิธีการคำนวณตามมาตรฐานของ Standard & Poor’s เป็นต้น) และนั่นก็หมายความว่างบการเงินสามารถมีได้มากกว่าหนึ่งชุด เพราะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าจะนำไปใช้ทำอะไร อย่างไรก็ตาม หลายๆ ท่านก็คงทราบว่าระบบการตั้งเงินทุนขั้นต่ำของประเทศไทยได้ถูกยกระดับให้ดีขึ้น และเมื่อศึกษาถึงผลลัพธ์ของระบบใหม่แล้ว ก็คงจะมีการบังคับให้ใช้กันภายในอนาคตข้างหน้า
“แอคชัวรีที่ดีควรจะต้องวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ให้กับบริษัทประกันภัยด้วย คือ 1) Trend of Profit, 2) Source of Profit, 3) Strategic Planning , and 4) Impact of Balance sheet”
งบการเงินตามระบบมาตรฐาน
การจะทำงบการเงินระบบมาตรฐาน (Financial Reporting Standard framework) นั้นจะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และสภาพแวดล้อมที่ใช้อยู่ในประเทศนั้นๆ ให้ได้เสียก่อน และการตีความจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วมาตัดสินใจ อีกทั้งแอคชัวรีจะต้องทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ด้าน (S
“ไม่ใช่ทำงบการเงินมาแล้วไม่มีใครอ่าน” งบการเงินที่ดีนั้น ถ้าทำเสร็จแล้วต้องมีคนอ่านและคนอ่านสามารถทำความเข้าใจกับมันได้
ปัจจัยสำคัญที่งบการเงินที่ทำออกมาแล้วจะต้องมีก็คือ 1) โปร่งใสและตรวจสอบได้ (transparent), 2) แม่นยำ (accurate) ,และ 3) เชื่อถือได้ (Reliable) และสิ่งเหล่านี้ก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากเราไม่มีข้อมูลและโมเดลที่ดีและเพียงพอที่จะนำมาคำนวณ อีกทั้งการสื่อสารเพื่อนำมาซึ่งความเข้าใจในข้อมูลแต่ละชนิดนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับแอคชัวรี เราจึงควรจะต้องมีการตรวจสอบกระบวนการทำงานอยู่สม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่น การทำ PDC
บทส่งท้าย
สิ่งที่สำคัญก็คือ “ไม่ใช่ทำงบการเงินมาแล้ว แต่กลับไม่มีใครอยากอ่านหรือนำมันมาใช้” งบการเงินที่ดีนั้น ถ้าทำเสร็จแล้วต้องมีคนมาอ่าน และคนอ่านสามารถทำความเข้าใจกับมันได้ด้วย
สำหรับผมแล้ว การตีความงบการเงินจึงเปรียบเสมือนการเล่นตัวโน้ตที่ปกติแล้วจะอ่านไม่รู้เรื่อง ให้ออกมาเป็นท่วงทำนองเพื่อให้คนฟังได้ซาบซึ้งกับเสียงเพลง และนั่นก็คงเป็นหน้าที่ของแอคชัวรีอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะแปลงตัวเลขให้เป็นเหมือนตัวโน้ต แล้วบรรเลงให้คนทั่วไปได้ซาบซึ้งถึงท่วงทำนองในงบการเงินเหล่านั้นกันครับ
โดย พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) - นักคณิตศาสตร์ประกันภัย / แอคชัวรี
Certified by Society of Actuaries of USA, UK, and Thailand
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น